วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นิทานหอศิลป์ 57 วันที่ 8


ธรรมชาติวิปริต

วันหนึ่งเกิดปรากฏการณ์ประหลาด พืชพรรณไม้ทั้งหลาย พากันเปลี่ยนสีสัน และค่อยๆมีขนาดใหญ่โตขึ้นๆ แต่ก็เกิดขึ้นเร็วชนิดที่หาสาเหตุไม่ทัน  ปัญหาที่สำคัญคือขนาดที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆของมันนี้ ทำให้แดดที่เคยส่องทั่วหมู่บ้านถูกบดบัง บ้านเมืองมีอุณหภูมิลดลงเรื่อยๆ   เมื่อถึงฤดูหนาว มีทั้งหิมะ ลูกเห็บ น้ำค้างแข็งทั่วไปหมด  เมื่ออากาศอุ่นขึ้น น้ำแข็งต่างๆพากันละลาย ประกอบกับลมพายุฝนที่กระหน่ำตกอย่างหนักเพราะมีป่าทึบอยู่มากมาย ก่อให้เกิดน้ำท่วมเมืองขนานใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

บ้านเมืองของทั้งเจ้าหญิงน้อย และเจ้าชายเล็กต้องจมลงใต้น้ำ ผู้คนหนีรอดด้วยการปีนต้นไม้ที่สูงพ้นน้ำ และดัดแปลงลำต้นและกิ่งใบเพื่อเป็นที่อาศัย ซึ่งเมื่ออยู่กันไปนานเข้าๆ ก็สบายพอสมควร พระราชาได้ส่งทหารดำน้ำ ไปดึงเอาเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆจากใต้น้ำขึ้นมาเนืองๆ แต่ปัญหาเกิดแล้วก็ต้องพยายามแก้

ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์บางอย่างเริ่มมีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นสัตว์หน้าตาประหลาดขึ้นหลายชนิด
ทุกคนจึงช่วยกันคิดหาทางว่าจะทำให้บ้านเมืองกลับสู่สภาพเดิมได้อย่างไร
นางฟ้ายิ้มบอกว่า งานนี้ใหญ่เกินตัวที่เธอจะช่วยได้ แต่คิดว่าต้องช่วยกันระดมพล เหล่าบรรดานางฟ้าและเทวดาทั้งหลายให้มาช่วยจะดีกว่า 

ปลาต่างๆเป็นมิตรมาก ได้ว่ายลงไปนำสิ่งของขึ้นสู่ผิวน้ำให้ชาวบ้านได้ใช้กัน เจ้าวาฬและพวกปลาตัวใหญ่ช่วยกันผลักและดัน ให้อาคารต่างๆผุดขึ้นสู่ผิวน้ำแต่ก็ทำไม่ได้
นางฟ้าและเทวดาค้นคาถากันให้จ้าละหวั่น ในที่สุดก็พบคาถาหนึ่ง ทุกคนช่วยกันเสกด้วยไม้เท้าวิเศษไปที่ผืนดินใต้ผิวน้ำให้ช่วยดูดซับน้ำให้มากขึ้น และช่วยกันเสกคาถาริดใบและกิ่งออกบ้าง แสงอาทิตย์สามารถสาดส่องได้ทั่วถึงในบริเวณกว้าง

ตั้งแต่นั้นมา ธรรมชาติเริ่มปรับเข้าสู่ภาวะสมดุล แม้จะยังมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นบ้างก็ตาม




นิทานหอศิลป์ 57 วันที่ 7


เหตุจากลม

วันหนึ่งในฤดูร้อน  เจ้าหญิงน้อย และเจ้าชายเล็ก นั่งตัดกระดาษเล่นกัน ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่  ฤดูร้อน แห้งแล้ง ใบไม้ทั้งหลายทนแล้งไม่ไหว พากันสลัดใบ ร่วงโรยลงมาเต็มพื้นหญ้า  ถึงกระนั้น ก็ยังมีใบเหลือพอสำหรับบังแดดที่ร้อนระอุ ให้รู้สึกเย็นขึ้นบ้าง  ทั้งสอง สนุกสนานกับการตัดกระดาษเป็นรูปร่างๆต่างๆ แล้วก็จินตนาการว่า มันเป็นสัตว์ตัวนั้นตัวนี้  มันเป็นสิ่งของสิ่งนั้นสิ่งนี้ นำมาเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่พักใหญ่

ครู่เดียว เกิดลมแรงเหมือนพายุพัดมา ทำให้กระดาษสีสวยๆที่ตัดมาเล่น และใบไม้แห้งทั้งหลาย ปลิวว่อนทั่วบริเวณไปหมด  ทั้งสองรู้สึกเสียใจและเสียดายมากที่ ตัวสัตว์และสิ่งของต่างๆของพวกตนต้องปนเปไปกับใบไม้ใบหญ้า หากลับคืนมาได้ยาก บางชิ้นก็ถึงกับหาไม่เจอเลยทีเดียว

ทั้งสองนั่งร้องไห้เสียใจ  เพราะยังอยากจะเล่นอยู่  นางฟ้ายิ้มผ่านมาเห็นเข้าก็ถามไถ่  หลังจากที่เข้าใจเรื่องโดยตลอดแล้ว นางฟ้าคิดว่าตนอาจใช้คาถาช่วยได้  เจ้าหญิงน้อย และเจ้าชายเล็กต่างยินดีมาก  นางฟ้าท่องบ่นคาถาอยู่พักใหญ่ แต่แล้วต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนกับว่าจำคาถาไม่ได้

เมื่อถูกรบเร้า นางฟ้าก็ร่ายคาถาออกไป ทันใดนั้น ใบไม้ทุกใบและกระดาษทุกชิ้นที่หล่นอยู่ ก็ล่องลอยขึ้นมา หมุนวนไปมาเร็วมาก จนทุกคนดูไม่ทัน  เมื่อการหมุนหยุดลง สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ไม่มีใบไม้ ไม่มีเศษกระดาษ คงมีแต่แมลงเล็กๆน่ารัก หลายร้อยตัว หลากหลายรูปทรงและสีสัน  เดินกันไปมา นางฟ้ารีบเนรมิตตาข่ายมาคลุมดักจับไว้   ขณะที่ เจ้าหญิงและเจ้าชาย วิ่งเข้าบ้านเพื่อไปเกณฑ์ให้คนรับใช้ นำภาชนะแก้วที่มีฝาปิดมาเพื่อใส่แมลงเหล่านั้น

รถเข็น เข็นเอาขวดใบเล็กใหญ่ รูปทรงต่างๆ พร้อมกับมีแมลงมากมายในนั้น เข็นเข้าวังไป ตามขบวนมาด้วยเด็กซนทั้งสามคน  เมื่อถึงวังแล้ว  ทั้งสามจึงมีเวลามาจ้องมองว่าภายในขวดแก้ว มีแมลงหน้าตาอย่างไรบ้าง

แมลงหลายตัว มีรูปทรงคล้ายใบไม้  ในขณะที่อีกหลายตัว ก็มีรูปทรงที่น่าขันมาก  สีสันของแต่ละตัว ก็สวยงามเหมือนของที่เนรมิตขึ้นมา (ก็เนรมิตจริงๆนั่นแหละ) ทั้งสามจ้องมองแมลงเหล่านั้นด้วยความเพลิดเพลิน  พลางตั้งชื่อที่เหมาะสมให้แต่ละตัวอย่างไม่รู้จักเบื่อ  ซ้ำยังรู้สึกตลกขบขันจนต้องหัวเราะดังๆออกมา  นับว่าเป็นวันในฤดูร้อนที่สนุกสนานมาก
แล้วพระราชินีก็เสด็จผ่านมาเห็นเข้า ทรงปรารภว่า การนำเอาสิ่งมีชีวิตมาทรมานในที่แคบๆ เป็นเรื่องเลวร้าย เป็นการทรมานสัตว์  ทรงอธิบายถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ จนทั้งสามรู้สึกอ่อนใจ คิดว่าคงต้องปล่อยแมลงทั้งหลายในขวดแน่แล้ว
ขณะที่นำขวดทั้งหลายไปเรียงรายไว้กลางแจ้ง เพื่อที่จะปล่อยแมลงออก  แดดยามเย็น ก็เริ่มส่องกระทบกับขวด ส่งผลให้แมลงทั้งหลาย มีปีกที่มีประกายแวววับ และเปลี่ยนลักษณะเป็นพลอยใสสีสวยงามมากมาย ยังความประหลาดใจให้เด็กทั้งสามอย่างยิ่ง
“ถึงอย่างไร เราก็ต้องปล่อยพวกมันออกไปนะ” เจ้าหญิงน้อยตรัสขึ้น  เจ้าชายกลาง พยักหน้า เห็นด้วย ส่วนนางฟ้า ไม่สู้ใจพอใจนัก จึงร่ายคาถาบางอย่างออกไป



ขณะที่เปิดฝาขวดปล่อยแมลงออกไปนั้น  เหล่าแมลงที่มีความงามประดุจเพชรพลอย ได้พากันบินตรงมาที่คอของนางฟ้า ประกอบกันขึ้นเป็นสร้อยคอเส้นโต มองดูสวยงามมาก  เจ้าหญิงน้อย และเจ้าชายเล็กร้องอุทานขึ้นพร้อมกัน “โอ้โห สวยจัง” ไม่นานแมลงกลุ่มนั้น ก็บินออกไป และกล่าวพร้อมกันว่า “ขอบคุณ”
เมื่อเปิดสองสามขวดออกมาก แมลงในขวด ได้บินมาเกาะตามเสื้อผ้าของเจ้าหญิง ทำให้ชุดที่พระองค์ทรงสวมใส่อยู่ สวยงามสะดุดตามาก  ส่วนของเจ้าชาย แมลงทั้งหลายพากันไปเกาะที่ศีรษะของพระองค์ กลายเป็นมงกุฎ ใหญ่ที่สวยงามที่สุด  จากนั้น แมลงทั้งหมด ก็บินขึ้นอย่างอิสระ แล้วกล่าว “ขอบคุณ”อย่างสุภาพที่สุด


นิทานหอศิลป์ 57 วันที่ 6


จระเข้กับยีราฟ

จระเข้ใจดีตัวหนึ่ง  วันหนึ่งๆได้แต่ลอยน้ำเล่นไปมาอย่างสบายใจ ไม่เคยคิดจะทำร้ายใคร  บางครั้งนานๆที ก็มีนกกระสามาอาศัยยืนบนหลังจระเข้ แล้วข้ามไปอีกฟากของแม่น้ำ  โดยไม่ต้องเสียแรงบิน  บางครั้ง ก็มีกระรอก หรือ สัตว์ตัวเล็กๆอื่นๆ  อาศัยนั่งข้ามฟากไปมา เพื่อไปหากินยังแหล่งใหม่ๆ แต่จระเข้ก็ไม่เคยว่าหรือพร่ำบ่นอะไรเลยแม้แต่น้อย

วันหนึ่ง  ขณะที่จระเข้กำลังเบื่อกับการมองเห็นทัศนียภาพเดิมๆในแนวราบ  จระเข้ก็ประสบพบเห็นเงาของสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน  มันเป็นสัตว์ที่มีขายาวมาก แต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่จระเข้เห็นได้ เนื่องจากจระเข้ยกคอสูงได้ไม่มาก จึงมองไม่เห็นส่วนที่เหลือของสัตว์ตัวนี้  มองเห็นแต่ขา สีเหลืองๆของมัน  แต่แล้วจระเข้ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเจ้าสัตว์ตัวนี้ลดหน้าลงมาใกล้กับหน้าของเขา  เพื่อดื่มน้ำในแม่น้ำ จระเข้จึงได้มองเห็นหน้าของมัน ช่างมีหน้าตาประหลาดอะไรเช่นนี้

จระเข้รวบรวมความกล้า แล้วเอ่ยทักทายสัตว์ตัวนั้นก่อน “สวัสดี ข้าคือจระเข้ แล้วเจ้าคือใคร”
สัตว์ตัวนั้นตอบว่า “ข้าว่าคือยีราฟ ข้าหลงทางมาจากบ้าน  รู้สึกกระหายน้ำจึงก้มลงดื่มน้ำที่นี่ ข้ากำลังกังวลว่า จากนี้ไป ข้าจะหาทางกลับบ้านได้อย่างไรกัน”

จระเข้ช่วยคิดอยู่พักใหญ่  ความคิดที่ว่าจะให้ยีราฟอาศัยยืนบนหลังแล้วให้จระเข้พาไปที่ไหนๆ คงเป็นไปไม่ได้ เพราะยีราฟตัวใหญ่มาก จระเข้คงแบกน้ำหนักไม่ไหว  สักพักจระเข้ได้ความคิดที่ดี จึงเสนอขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้ารู้จักป่าแถวนี้ดี  ถ้าเจ้ายอมให้ข้าขี่หลังเจ้าไปด้วย ข้าจะนำทางเจ้าออกจากป่านี้ได้”

ยีราฟเห็นด้วย จระเข้ดีใจมากที่จะได้อยู่ในที่สูงๆเช่นที่หลังของยีราฟกับเขาบ้าง คงได้เห็นทัศนียภาพอะไรใหม่ๆให้หายจำเจหน่อย  ทั้งสองจึงออกเดินทางร่วมกันไป โดยมีเจ้าจระเข้อยู่บนหลังของยีราฟ

จระเข้มีความสุขมากอยู่บนหลังของยีราฟ เพราะได้มองเห็นภาพต่างๆที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ไม่ลืมที่จะทำหน้าที่บอกทางให้แก่ยีราฟ  แต่แล้ว ยังไม่พ้นไปจากป่า ฟ้าก็มืดเสียก่อน จำต้องค้างแรมอยู่ตรงที่โล่งริมหนองน้ำแห่งหนึ่ง จระเข้เดินหลบไปอาศัยนอนในหนองน้ำ ส่วนยีราฟ พับขาลง แล้วม้วนคอเก็บแนบตัว หลับอยู่ไม่ไกล 

เมื่อถึงตอนเช้า จระเข้ตื่นขึ้นพบว่ายีราฟหายไป  เห็นแต่นางฟ้ายิ้ม ยืนกินขนมนิ่งอยู่ จระเข้สงสัย จึงถามนางฟ้าว่า เห็นยีราฟไหม นางฟ้าตอบว่า “อ๋อ ยีราฟตัวนั้น ไม่ใช่ยีราฟจริงๆหรอก แต่เป็นขนมที่ฉันอบขึ้นมา  เจ้าน้องชายจอมซนของฉัน ใช้เวทยมนตร์เสกให้มันกลายเป็นสิ่งมีชีวิต แล้วเดินหลงหายไปในป่า ฉันบังคับให้น้องชายถอนมนตร์ เพราะฉันอยากกินขนมของฉัน ในที่สุดน้องชายก็ยอมแค่ครึ่งเดียว คือ ยอมถอนมนตร์ให้กลับมาเป็นขนม แต่ไม่ยอมนำกลับคืนมาให้ฉัน ฉันจึงต้องออกมาหาเองแบบนี้”

จระเข้ได้ฟังแล้ว ก็ร้องไห้เสียใจมาก ที่ต้องเสียเพื่อนใหม่ไป  ซ้ำยังไม่ได้เที่ยวชมสิ่งใหม่ๆตามที่ปรารถนาด้วย  ไม่ว่านางฟ้าจะปลอบอย่างไร จระเข้ก็ไม่หยุดร้อง นางฟ้าจึงยื่นข้อเสนอให้ว่า“เอาล่ะ ที่บ้านของฉันมีขนมอีกก้อนหนึ่ง ที่ฉันอบเสร็จแล้ว แต่ฉันทำมันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถ้าเธอตามฉันไปต่อให้มันครบเป็นตัว ฉันสัญญาว่าฉันจะเสกให้เป็นยีราฟตัวจริง เพื่อจะได้มาเป็นเพื่อนกับเธอ”


จระเข้ตกลง ดังนั้น ทั้งสองจึงเดินทางไปบ้านนางฟ้าจุ๋ม เพื่อจัดการกับขนมนั่น จระเข้ตั้งใจต่อมาก ในที่สุดจระเข้ก็สามารถประกอบชิ้นขนมจนเป็นรูปร่างยีราฟ ได้สำเร็จ นางฟ้าพอใจมาก จึงเสกให้เป็นตัวจริงตามสัญญา  แต่อนิจจา ยีราฟตัวใหม่ มีรอยแตกเต็มตัวไปหมด  แรกๆนางฟ้ากับจระเข้เสียใจกับเรื่องนี้อยู่ แต่เมื่อมองไปมองมา มันก็ทำให้ยีราฟดูสวยงามดี  ไม่นานทุกคนก็ลืมเรื่องนี้ไป จระเข้ ได้ท่องเที่ยวชมความงามของป่าอย่างจุใจกับยีราฟเพื่อนรักตลอดมา


นิทานหอศิลป์ 57 วันที่ 5


ช้าง กับ เพื่อนวาฬ

ที่ป่าลึกติดทะเล ช้างเป็นสัตว์บกตัวใหญ่ที่สุด ส่วนวาฬเป็นสัตว์น้ำที่ตัวใหญ่ที่สุด ความเป็นจริงทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอ แม้จะมีโอกาสพบกันน้อยก็ตาม

วันหนึ่งช้างน้อยเล่นมาจนเหนื่อย เดินไปชายหาด พบเปลือกหอยสวยงามมากมาย จึงเก็บรวบรวมไว้อย่างดี  เจ้าวาฬมาเห็นเข้า จึงขอเป็นเจ้าของบ้าง แต่ช้างน้อยไม่ให้ รู้สึกว่าตนต้องเสียเวลาเก็บรวบรวมอยู่นาน จึงหวง

เจ้าวาฬรู้สึกน้อยใจมาก ร้องไห้เสียใจอยู่ใต้น้ำ ตีหางม้วนตัวไปมา จนเกิดคลื่นใหญ่ถาโถมเข้าสู่ฝั่ง พัดพาเอามวลน้ำจำนวนมหาศาลเข้าท่วมบ้านเมืองราวกับสึนามิ ก็ไม่ปาน

ชาวบ้านต้องเดือดร้อน จึงพากันไปกราบทูลพระราชา  พระราชาจึงมีรับสั่งให้แก้ไขเรื่องนี้โดยด่วน

ช้างน้อยเห็นว่าเป็นความผิดของตน ก็ตรงไปของ้อเจ้าวาฬ เจ้าวาฬกลับไม่สนใจ แม้ว่าช้างจะยอมยกเปลือกหอยทุกชิ้นที่มีอยู่ให้เจ้าวาฬก็ตาม  เจ้าวาฬ ก็ยังคงตีน้ำขึ้นฝั่งอย่างต่อเนื่อง เพราะเริ่มสนุกแล้ว  จึงไม่สนใจสิ่งใด ทหารทุกคนของพระราชาพากันหาเปลือกหอยมากำนัลให้เจ้าวาฬอย่างมากมาย เรียกว่าแทบจะหมดทั้งชายหาดอยู่แล้ว แต่เจ้าวาฬยังนึกสนุกและยังคงตีน้ำอย่างไม่หยุดยั้ง

นางฟ้าเห็นเป็นโอกาสที่จะสั่งสอนเจ้าวาฬ จึงเนรมิตเป็นภาพสมมุติว่า วาฬตัวอื่นๆ ได้พากันมาเกยตื้น และอยู่ในสภาพที่ขาดน้ำ  ทำให้เจ้าวาฬได้สำนึกว่าตนได้ทำให้ญาติสนิทมิตรสหายเดือดร้อน


เจ้าวาฬหยุดทำน้ำท่วม  ส่วนเจ้าช้าง ก็เกณฑ์เพื่อนๆมาช่วยกัน ดูดน้ำออกจากหมู่บ้าน นอกจากนี้ ช้างทุกตัว ได้พากันโบกใบหูให้เกิดลมพัดเพื่อให้ทุกอย่างแห้งลงโดยเร็ว ทุกคนต่างทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เพราะต้องการให้บ้านเมืองกลับสู่สภาพปกติ


หลังจากที่ทุกอย่างสงบเรียบร้อยลง  ในวันที่อากาศดีวันหนึ่ง  ช้างน้อยได้ให้สัตว์เล็กๆ มีกระต่าย กระรอก กระแต เป็นต้น ขึ้นขี่หลัง และพาไปที่หาดทรายขาว ที่ซึ่งเจ้าวาฬ มารอขอโทษช้างน้อยอยู่แล้ว  และยังสมนาคุณด้วยการพาสัตว์เล็กๆเหล่านั้น ขึ้นขี่หลัง ออกเที่ยวทะเลอีกด้วย นับว่ามิตรภาพได้กลับคืนแล้ว ซ้ำยังแผ่ขยายออกไปอีกมากมาย นับเป็นวันที่สวยงามวันหนึ่ง

นิทานหอศิลป์ 57 วันที่ 4


ความเปลี่ยนแปลงในครัว

วันหนึ่ง ป้าหัวหน้าแม่ครัวของเจ้าชายเล็ก ร้องขึ้น  “โอ้ย หนู หนู วิ่งเพ่นพ่านทั่วไปหมด ใครก็ได้หาแมวมาจับหนูที ครัวฉันป่นปี้ไปหมดแล้ว”

ไม่นานทหารคนหนึ่งก็อุ้มแมวตัวหนึ่งมา มันเป็นแมวที่ประหลาดมาก มันมีหูเป็นรูปสามเหลี่ยม ดูแหลมคม มีดวงตาสีเหลืองที่กลมโตมาก ตลอดทั้งลำตัวเป็นสีชมพู แถมยังมีลายตามตัวที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ลายเป็นสามเหลี่ยมเล็กๆสีแดง
 
“มันออกจะเป็นแมวที่แปลกซักหน่อย นางฟ้าให้ข้านำมามอบให้ท่านแก้ปัญหา”  ทหารเอ่ย
“ไม่เป็นไร แมวอะไรก็จับหนูได้ทั้งนั้น” หัวหน้าแม่ครัวพูดขึ้น  จากนั้นก็บอกกับแมวว่า “ ไปจับหนูมาให้ป้าเยอะๆนะ เด็กดี” แล้วก็ปล่อยแมวไว้ในครัว

แมวตัวนี้เป็นแมวพิเศษ ถ้ามันร้องเหมียวๆขณะที่อุ้งเท้าไปแตะถูกอะไร สิ่งนั้นจะกลายเป็นรูปสามเหลี่ยมทันที  ก็ไม่น่าแปลกใจเมื่อแมวตัวนี้ คาบหนูมาฝากหัวหน้าแม่ครัวได้ 3 ตัว หนูทั้งสามมีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยมทุกตัว
แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น เพราะว่าเมื่อป้าหัวหน้าแม่ครัวก้าวเท้าเข้ามาในครัว “ แม่เจ้า”  แม่ครัวอุทาน ถ้วยโถโอชาม กระทะหม้อไห ในครัว กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมทั้งหมด

“ใช้ไม่ได้ ๆ ทุกอย่างต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม ไม่งั้นฉันโดนโบยหนักและหักเงินเดือนแน่ๆ” แม่ครัวร้อง
จากนั้นไม่นาน ทหารก็นำกระต่ายสีฟ้าตัวหนึ่งมาให้แม่ครัว  แม่ครัวสงสัย ทหารบอกว่า “กระต่ายตัวนี้ไม่ใช่กระต่ายธรรมดา เวลามันเดินไปแตะของสิ่งไหน ของสิ่งนั้นจะกลายเป็นวงกลม แม่ครัว ทำถุงเท้าเล็กๆกระต่ายสวมไว้ก่อน เพื่อไม่ให้มันไปแตะอะไรที่แม่ครัวไม่ต้องการ  จากนั้น จึงค่อยๆนำเท้ากระต่ายไปแตะสิ่งของที่เป็นสามเหลี่ยมทีละชิ้นๆ จนทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ แม่ครัวไม่แปลกใจเลยว่ากระต่ายตัวนี้มาจากไหน

วันหนึ่ง แม่ครัวทำกุญแจที่ล็อคกรงแมว และกระต่ายหายไป ในขณะกำลังให้อาหารพวกมัน ความที่มัวแต่หากุญแจอยู่นั้น แมวและกระต่ายก็แอบเผ่นหนีไป

แม้ว่าทั้งสองจะวิ่งเล่นไปไกลถึงวังของเจ้าหญิงน้อย ก็นับว่าโชคดีอยู่อย่างหนึ่งที่ทั้งสอง เปลี่ยนแปลงได้แต่สิ่งของเล็กๆเท่านั้น เพราะตอนนี้ สวนของเจ้าหญิงน้อยที่มีทั้งสองเพ่นพ่านอยู่ ก็น่ารักไม่เบา  กระต่ายที่อยู่ได้แต่ระดับพื้นดิน ทำให้หินทุกก้อนกลายเป็นวงกลม ส่วนแมวนั้น ซนหน่อย กระโดดไปมา และตะปบสัตว์ตัวเล็กๆบ้าง  ดอกไม้บางดอก ใบไม้บางใบ กลายเป็นสามเหลี่ยม  ผีเสื้อบางตัว ก็มีรูปร่างเปลี่ยนไปเป็นรูปสามเหลี่ยม


 
ตกเย็น เมื่อเจ้าหญิงน้อยมาเดินที่สวน ก็ต้องแปลกพระทัยอยู่ไม่น้อยกับภาพสวนตรงหน้า พื้นมีแต่หินรูปทรงกลมและสามเหลี่ยมสลับกันไป พุ่มไม้มีใบเป็นสามเหลี่ยมบ้าง ดอกไม้เป็นสามเหลี่ยมบ้าง แล้วผีเสื้อที่โบยบินไปมาอีกล่ะ



วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นิทานหอศิลป์ 57 วันที่ 3


ที่เขาสามสี

วันหนึ่งสมเด็จย่าของเจ้าชายเล็กทรงประชวร (ไม่สบาย) ทรงบรรทมอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ก็ทรงนั่ง  แทนที่จะทรงออกมาเดินเล่นเหมือนแต่ก่อน  เจ้าชายทรงเป็นห่วง เพราะไม่เคยเห็นสมเด็จย่า เป็นเช่นนี้มาก่อน นางในสันนิษฐานว่าท่านทรงประชวรทางใจ เพราะเหตุว่าสุนัขตัวโปรดของพระองค์หายไป
พระราชาเมืองสอง ได้เคยสั่งให้ทุกคนหาทั่วทุกซอกมุมของวังแล้ว ก็ไม่มีใครพบ พระราชาเกรงว่าหากสมเด็จย่าบรรทมทุกวันไปนาน ท่านอาจจะไม่สามารถทรงเดินได้อีก  เจ้าชายใหญ่จึงรับอาสานำทหาร 500 นาย ออกไปตามหายังบ้านเมืองและป่าเขา  โดยมีเจ้าชายเล็กติดตามไปด้วย

ในเมือง หลังจากเดินหาทุกบ้าน ทุกร้านค้า อาคาร โรงเรียน หรืออาราม ก็ไม่พบร่องรอยของสุนัขตัวนั้นเลย  เจ้าชายใหญ่จึงตัดสินใจออกตามหาในป่า อาจจะเดินหลงป่าไปและหาทางกลับวังไม่ได้ ก็ย่อมเป็นได้

แล้วนางฟ้ายิ้มก็มาพบเห็นทุกคนเข้าที่ป่า หลังจากที่ทราบว่าพวกเขาออกเดินกันมาทำไม นางฟ้ายิ้มให้คำแนะนำว่า ไม่ว่าใครที่หาสิ่งใดไม่พบ ก็จะสามารถพบได้ที่เขาสามสีในที่สุด  ทุกคนสนใจหันมาเงี่ยหูฟังนางฟ้า  “เขาสามสีอยู่ที่ไหนกัน” เจ้าชายกลางถาม นางฟ้าตอบว่า “ อยู่กลางป่า แต่วิธีจะหาให้พบนั้นต้องไปตามทางของดอกไม้รูปลูกศรดอกใหญ่ สีม่วงอ่อน  มีลำต้นเตี้ยๆ และมีใบเป็นสีฟ้า  หาไม่ยากหรอก”
“เมื่อพวกท่านไปถึงภูเขา จะรู้ได้ทันที เพราะมันมีสามสีต่อกัน เหมือนขนมสามชั้น  ทางขึ้นเขาจะมีต้นไม้พุ่มเตี้ยใบดกหนา เป็นแผ่นกลมๆ ให้ทหารรวมทั้งเจ้าชายทั้งสองเด็ดใบไม้นั้นมาไว้ที่ตัวคนละใบ แล้วจะขึ้นเขาได้โดยปลอดภัย ฉันไปเล่นต่อล่ะนะ” เจ้าชายกลางบอกขอบใจนางฟ้า แล้วทุกคนก็ออกเดินทางต่อไป

เมื่อมาถึงเชิงเขา เห็นว่าภูเขามีรูปร่างเหมือนขนมที่มีฐานกว้าง และมีปลายแหลม มีสามชั้น สามสี ดังคำเล่าลือ ที่เชิงเขา มีต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่จริง ใบไม้ก็เขียวดีอยู่ แต่รูปร่างของใบ ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันกลมดิ๊กราวกับเอาวงเวียนไปวาดไว้ ทุกคนทำตามคำแนะนำของนางฟ้ายิ้ม ได้เด็ดมาคนละหนึ่งใบ ใส่กระเป๋าเสื้อตนเองไว้ รวมทั้ง เจ้าชายใหญ่ และเจ้าชายเล็กด้วย
จากนั้น ทั้งหมดก็คิดว่าจะปีนเขาลูกนั้น ได้อย่างสบาย แต่ก็เปล่า ไม่ว่าจะใช้วิธีปีนอย่างไร ก็ไม่เป็นผล เจ้าชายเล็กตะโกนถามนางฟ้ายิ้ม โดยที่ไม่รู้ว่าเธออยู่ไหน

นางฟ้ายิ้มปรากฏตัวด้วยอาการง่วงนอน แล้วพูดว่า “ อ้อ ลืมบอกไป ว่า การจะปืนได้นั้น ต้องต่อตัวกันขึ้นไป เมื่อต่อตัวเสร็จ ต้องทำท่าไม่เหมือนกับคนข้างล่าง จากนั้น หยิบใบไม้ที่เด็ดมานั้น เคี้ยวแล้วกลืนเข้าไป ตัวจะแข็งชั่วคราว เพื่อช่วยให้คนตามหลังมาปีนสะดวกขึ้น คนสุดท้ายที่แตะถึงยอดเขา จะช่วยให้ทุกคนคลายตัวแข็งและดึงตามกันขึ้นเขาได้หมด จากนั้นตอนลง ก็ไม่ต้องมีพิธีรีตอง สามารถไถลตัวลงกันมาได้ตามปกติ”  พูดจบนางฟ้าก็ขอตัวกลับไปนอนต่อ

ทุกคนปฎิบัติตาม เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว ทุกคนก็ตามกันมาได้อย่างที่นางฟ้าพูดจริงๆ ข้างบนนั้น มีข้าวของมากมายสารพัดชนิด ไม่รู้ว่ามาจากไหนกันบ้าง ถ้าเช่นนั้น จะหาสุนัขของสมเด็จย่าพบได้อย่างไร ขณะกำลังคิดอยู่นั้น พลันมองเห็นป้ายไม้ปักไว้  เขียนไว้ว่า “ ต้องการพบของสิ่งใด ขอให้อธิษฐานจิตถึงของสิ่งนั้น แล้วท่านจะพบ”

ก็เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างราบรื่น นำสุนัขมาส่งคืนสมเด็จย่าได้เรียบร้อย
แต่สมเด็จย่ากลับไม่ทรงเดินดังเดิม แม้จะได้สุนัขตัวโปรดกลับคืนมา เมื่อมีคนไปทูลถาม ท่านกลับตรัสว่า “ฉันปวดเข่าย่ะ ไม่เห็นมีใครถามฉันเลย ได้แต่สันนิษฐานเอาเอง เจ้าสุนัขนั่นอะไรนั่นก็ไม่เกี่ยวหรอก”




นิทานหอศิลป์ 57 วันที่ 2

เรื่องลูกโป่งสารพัดหน้า

วันนี้เจ้าหญิงน้อยต้องวิ่งเตลิดออกจากวังมา เพราะทนอารมณ์ร้ายของอำมาตย์พูนไม่ได้ อมาตย์พูนเป็นคนที่อารมณ์เสียเป็นนิตย์ เจ้าหญิงไม่ชอบเลย ไม่ว่าจะทำอย่างไร ท่านก็จะมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนั้นเสมอ

เจ้าหญิงเดินออกมาได้ระยะหนึ่ง ก็พบเห็นคนขายลูกโป่ง จึงเกิดความคิดว่าลูกโป่งอาจจะช่วยอมาตย์พูนได้ เจ้าหญิงนำเงินที่เสด็จพ่อให้มา เหมาลูกโป่งทั้งหมด จากนั้น ก็นำพู่กันจุ่มสี นั่งเขียนหน้าตาอารมณ์แบบต่างๆบนลูกโป่งหลากหลายสีนั้น วาดไปพระองค์ก็ขำไป พระองค์จะรู้สึกกับใบหน้าหัวเราะของลูกโป่งมากที่สุด ไม่นานเจ้าชายเล็กสด็จมาพบเข้า ทั้งสองจึงช่วยกันวาด ได้ใบหน้าต่างๆแข่งกันอย่างสนุกสนาน

เมื่อเสร็จแล้ว เจ้าหญิงตั้งใจว่าจะนำไปให้อำมาตย์ดูเล่น อาจจะได้เห็นรอยยิ้มจากเขาบ้าง ระหว่างทางนางฟ้ายิ้มแสนซนปรากฏตัวขึ้น แล้วเธอก็แกว่งไม้คฑาวิเศษของเธออีก  ลูกโป่งทั้งหลายพลันมีชีวิตแล้วก็หลุดลอยไป เจ้าหญิงเสียใจมาก ร้องไห้เสียงดัง เจ้าชายเล็กไม่ยอม  ต่อว่านางฟ้าจุ๋มมากมาย นางฟ้าจุ๋มหัวเราะ แล้วพูดว่า “เรื่องเล็กน่า ทำเป็นตื่นเต้นกันไปได้ เดี๋ยวฉันจะเรียกพวกเขากลับมาเอง แล้วพวกเธอจะต้องทึ่ง” จากนั้นนางฟ้าจุ๋มก็ผิวปากเรียกลูกโป่ง (ช่างไม่เป็นกุลสตรีเอาซะเลย) เหล่าลูกโป่งที่ล่องลอยไปอย่างอิสระ ก็ตรงกลับมาที่เดิม มิหนำซ้ำยังตั้งตัวตรงเป็นแถวเป็นแนวอย่างเป็นระเบียบอีกด้วย

นางฟ้าเข้าใจอุบายที่เจ้าหญิงน้อยต้องการ จึงบอกเจ้าหญิงน้อยว่า เธอได้ตั้งกลไกไว้ในลูกโป่งทุกใบ เมื่อลูกโป่งอยู่ใกล้อมาตย์จะสำแดงผล  แล้วนางฟ้าก็ผิวปากอีกครั้ง ลูกโป่งทุกใบ ลอยตรงไปยังทิศทางที่อำมาตย์อยู่  เมื่อไปถึงตัวอำมาตย์ อำมาตย์โกรธอีก และทุกครั้งที่อำมาตย์ขมวดคิ้วเข้าหากัน ลูกโป่งก็จะแตกออก ทำให้อำมาตย์ตกใจ คิ้วของอำมาตย์ก็คลายออก ปากของอมาตย์ก็อ้ากว้าง แต่ไม่นาน อมาตย์ก็โกรธอีกเพราะเป็นนิสัย ลูกโป่งอีกลูก ก็ลอยเข้ามาใกล้แล้วก็แตกออกอีก อำมาตย์ก็คลายคิ้วอีก และอ้าปากกว้าง ลูกโป่งอีกใบก็ลอยมา ลูกโป่งใบนี้ มีใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรมาก อำมาตย์อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม ทีนี้ลูกโป่งไม่ยอมปล่อยให้อำมาตย์หน้านิ่ว ยังคงแตกออกและลอยตามมาติดๆ จนมาถึงใบที่มีหน้าหัวเราะ อมาตย์เห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้  สำเร็จแล้ว เจ้าหญิงน้อยดีใจ ตรงเข้าไปหาอำมาตย์พูนแสดงความชื่นชม

อำมาตย์บอกว่า ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าขี้โมโหแค่ไหน แล้วหน้าตาของตนเป็นอย่างไรเวลาโมโห ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมผู้คนรอบตัวจึงไม่กล้าเข้าใกล้ แต่การยิ้มหรือหัวเราะออกมา ทำให้รู้สึกดีมาก สดชื่นด้วย กำลังพูดอยู่ ลูกโป่งที่มีใบหน้าเคร่งขรึมก็ลอยเข้ามา อำมาตย์กลัวและไม่ชอบ แล้วมันก็แตกออก ทุกคนหัวเราะกันใหญ่


คราวนี้ เมื่อแตกออก มีดอกไม้และลูกอม กระจายออกมามากมาย เหมือนมีงานเลี้ยง ใครต่อใครก็เข้ามาช่วยกันเก็บไปครอบครอง โดยไม่รู้ที่มาที่ไปกันเลย


นิทานหอศิลป์ 57 วันที่ 1


เรื่องเป่าฟองแข่งกัน


เจ้าหญิงน้อยกับเจ้าชายเล็กเป็นเพื่อนรักกัน พระบิดาของสองพระองค์เป็นเพื่อนรักกันมาก  ทั้งสองไปมาหาสู่กันเสมอ เมื่อมาพบกันแต่ละครั้ง ก็จะทรงพาโอรสธิดามาด้วย  เจ้าหญิงและเจ้าชายจึงเป็นเพื่อนสนิทกันตามพระบิดาของพระองค์

บ่ายวันหนึ่งในฤดูร้อน พระบิดาก็มาพบหากันอีก เจ้าชายและเจ้าหญิงไปวิ่งเล่นในสวน  ที่ลานทรายกว้าง ทั้งสองมีเรื่องเล่นสนุก ต่างท้ากันว่าใครจะเป่าลูกโป่งฟองสบู่ได้มากกว่ากัน

 เจ้าหญิงมีก้านเป่าฟองเป็นรูปวงกลม ส่วนเจ้าชายมีก้านเป่าฟองออกมาเป็นสี่เหลี่ยม  เมื่อเป่ามาตกลงตรงลานทรายกว้าง ก็จะเกิดเป็นรูปสี่เหลี่ยมและวงกลม ต่างขนาดมากมาย  ขณะก้มลงนับจำนวน ปรากฏว่าเจ้าหญิงมีจำนวนรอยน้อยกว่าเจ้าชาย เจ้าหญิงไม่ยอม ร้องไห้เสียงดัง บอกว่าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ เจ้าชายกลัวถูกทำโทษ จึงออกอุบายว่า ให้แข่งกันวาดภาพจากฟองที่เป่าได้บนพื้นทราย 

ของเจ้าหญิงให้ต่อเติมภาพจากวงกลม ส่วนเจ้าชายจะต่อเติมภาพจากสี่เหลี่ยมของตัว ใครต่อเติมได้มากเป็นผู้ชนะ และแน่นอน วงกลมของเจ้าหญิง ย่อมต่อเติมเป็นภาพต่างๆได้มากกว่าสี่เหลี่ยมของเจ้าชาย เจ้าหญิงต่อเติมวงกลมเป็นรูปขนมต่างๆ และสัตว์อีกหลายตัว  จึงเป็นผู้ชนะ และพระองค์ก็พอพระทัย  ซึ่งเจ้าชายทรงรู้ดีอยู่แล้ว แต่เพราะสมยอมให้ จึงไม่เอะอะโวยวาย

นางฟ้าองค์น้อยองค์หนึ่งชื่อนางฟ้ายิ้ม เพิ่งจะทะเลาะกับแม่นางฟ้ามา ผ่านมาเห็นเข้า ก็นึกสนุกเอาไม้คฑาวิเศษเสกให้สิ่งต่างๆที่ทั้งสองวาดขึ้นมานั้น ลอยล่องขึ้นมาพลันกลายเป็นของจริงไปทั้งหมด เจ้าหญิง และเจ้าชายวิ่งตามจับไม่ทัน นางฟ้าองค์น้อยพูดขึ้นว่า “ของเหล่านี้ ตกไปที่ไหนจะกลายเป็นของวิเศษที่นั่น ” จากนั้นสิ่งต่างๆ ก็ล่องลอยกันไปคนละทิศละทาง